2011年7月11日星期一

เรื่องชื่อตำแหน่งในเรือสำเภาจีน




                



                                   
ตัวอย่าง กองเรือมหาสมบัติอันเกรียงไกรของแม่ทัพเจิ้งเหอ



lผู้ควบคุมบัญชาการสูงสุด 宝船最高指挥官(เบ่าฉวนจุ้ยกาวจื่อฮวยกวน) คือ แม่ทัพเจิ้งเหอ หรือแม่ทัพซำปอกง

lคณะควบคุมบัญชาการสูงสุดสูงสุด มี ๗ คน ในฐานะตัวแทนแห่งองค์จักรพรรดิมังกร

lผู้บัญชาการเรือของแต่ละเรือ ชื่อ ไต้ก๋ง(船长ฉวนจ่าง)

lลูกเรือ 班碇手ปานเตี้ยนโส่ว

lนักพยากรณ์อากาศ นักโหราศาสตร์ ชื่อ 阴阳官 ยินหยังกวน

lนักภาษาศาสตร์ ล่าม ชื่อ 通事 นายท่องสื่อ

lแพทย์และนักเภสัชสมุนไพร ชื่อ 医官 ยีกวน

lนักสอนศาสนาอิสลาม และ พระสงฆ์ในพุทธศาสนา ชื่อ 传教士 僧侣 ฉวนเจี้ยวซื่อ ซึงหล่วย

lนักบัญชี ชื่อ 书写手 ซูเสี่ยโส่ว

lผู้บัญชาการฝ่ายทรัพยากร 鸿舻寺序班 หงหลูซื่อซู่ปาน

lช่างไม้ 木棯มู่เหนี่ยน
lช่างซ่อมบำรุง 搭材 ตาฉาย
ข้อมูลจาก  หนังสือเจิ้งเหอ

วังต้ายวน

        เรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างไทยและจีนที่นำเสนอนี้ส่วนใหญ่ได้ข้อมูลจากหลักฐานต่าง ๆ ในเอกสารจีน และตั้งอยู่บนรากฐานของการตีความคำว่า “เสียน” หมายถึง “อาณาจักรสุโขทัย” และคำว่า “เสียนหลอ” หรือเสียนหลอหู” หมายถึง “อาณาจักรอยุธยา” อย่างไรก็ตามในปัจจุบันได้มีการตั้งข้อสังเกตว่า การตีความคำว่า “เสียน” หมายถึง อาณาจักรสุโขทัย นั้นมีความถูกต้องมากน้อยเพียงใด นักวิชาการบางกลุ่มได้แสดงความคิดเห็นว่า “เสียน” น่าจะหมายถึงดินแดนตั้งแต่ “แคว้นสุพรรณภูมิ” ในขณะที่อีกกลุ่มหนึ่งมีความเห็นว่า “เสียน” น่าจะหมายถึงดินแดนตั้งแต่ “แคว้นสุโขทัย” แคว้นสุพรรณภูมิ ลงไปจนถึง แคว้นนครศรีธรรมราชคำว่าเสียนทีเกี่ยวกับดินแดนจะแตกต่างกันออกไป และจะดินแดนส่วนไหน การเกิดความคิดเห็นที่ขัดแย้งกับการตีความคำว่า เสียน หมายถึง อาณาจักรสุโขทัยนั้น เป็นเพราะว่ามีหลักฐานหลายประการในเอกสารจีนที่ดูเหมือนว่า จะไม่สอดคล้องกับการตีความดังกล่าว อาจสรุปหลักฐานต่าง ๆ โดยสังเขปต้องพิจารณาให้ถี่ถ้วนด้วยว่าหมายถึง ได้ดังนี้
วังต้ายวน ชาวจีนผู้ซึ่งเคยเดินทางมายยังดินแดนต่าง ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้แต่งหนังสือชื่อ “บันทึกย่อเผ่าชาวเกาะ” บรรยายถึงสิ่งต่าง ๆ ที่เขาได้พบเห็นในระหว่างการเดินทาง ในหัวข้อที่บรรยายถึง “เสียน” ได้กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า “เมื่อรัชกาลจื้อเจิ้ง ปีฉลู (ตรงกับปี พ.ศ.1892) เดือน 5 ฤดูร้อน เสียนยอมจำนนต่อหลอหู” จากข้อความข้างต้นตีความได้ว่า เสียนยอมจำนนแล้วผนวกเข้ากับหลอหู (ละโว้) ในปี พ.ศ. 1892 ซึ่งเป็นเวลาก่อนการสถาปนาอาณาจักรอยุธยา 1 ปี (พ.ศ. 1893) แต่ก่อนเวลาที่สุโขทัยตกเป็นประเทศราชของอยุธยาถึง 29 ปี (พ.ศ.1921) ปัจจุบันมีความเชื่อกันว่า อาณาจักรอยุธยาเกิดจากการรวมตัวของกลุ่มเมืองสุพรรณภูมิกับเมืองบริวาร และกลุ่มเมืองละโว้กับเมืองบริวารสุพรรณภูมิและละโว้มีความสัมพันธ์ฉันเครือญาติจากการแต่งงาน ด้วยเหตุนี้การตีความคำว่า เสียน หมายถึง “อาณาจักรสุโขทัย”จึงดูเหมือนว่าจะขัดแย้งกับหลักฐานที่ปรากฏในหนังสือของวังต้ายวน
จากนั้น เขายังได้พรรณานาถึงพลเมืองของเสียนไว้ดังนี้ “พลเมืองเป็นโจรสลัดกันมาก เมื่อใดก็ตามที่มีเหตุการณ์วุ่นวายขึ้นในเมืองอื่น พวกนี้จะลงเรือหลายร้อยลำที่บรรทุกสาคูจนเพียบแปร้ (ใช้เป็นเสบียงอาหาร) และเข้าโจมตีอย่างกล้าหาญ จนได้ทุกสิ่งที่ต้องการ” คุณสมบัติของพลเมืองเสียนที่วังต้ายวนกล่าวว่ามีความรู้ความชำนาญทางทะเลนั้นไม่น่าจะเป็นพวกคนไทยจากสุโขทัย ซึ่งเป็นชาวดอนอยู่ลึกเข้าไปในผืนแผ่นดิน แต่น่าจะเป็นพวกคนไทยจากสุพรรณภูมิซึ่งอยู่ใกล้ทะเลมากกว่า
  http://www.thaigoodview.com/node/13830

ปราสาทนครนครธม


พระพักตร์ของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ที่ประตูด้านใต้


นครธมเป็นเมืองหลวงแห่งสุดท้ายและเมืองที่เข้มแข็งที่สุดของอาณาจักรขะแมร์ สถาปนาขึ้นในปลายคริสต์ศวรรษที่ 12 โดยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 มีอาณาเขตครอบคลุมพื้นที่ 9 ตารางกิโลเมตร อยู่ทางทิศเหนือของ นครวัด ภายในเมืองมีสิ่งก่อสร้างมากมายนับแต่สมัยแรกๆ และที่สร้างโดยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 และรัชทายาท ใจกลางพระนครเป็นปราสาทหลักของพระเจ้าชัยวรมัน เรียกว่า ปราสาทบายน และมีพื้นที่สำคัญอื่นๆ รายล้อมพื้นที่ชัยภูมิถัดไปทางเหนือ

จุดเด่นที่สุดคือทางเข้าด้านใต้ ที่มีลักษณะเป็นหน้า4หน้า ก่อนจะเข้าสู่บริเวณนี้ จะเป็นแถวของยักษ์ (อสูร) ทางด้านขวา และเทวดาทางด้านซ้าย เรียงรายแบกพญานาคอยู่สองข้างสะพาน เมื่อเข้าสู่ใจกลางนครธมจะพบสิ่งก่อสร้างต่างๆ บริเวณประตูด้านใต้นี้ได้รับการอนุรักษ์ฟื้นฟูไว้ได้ดีกว่าบริเวณอื่นๆ อีก 3 ด้าน

ปราสาทนครวัด吴哥窟

 
นครวัดเป็นศาสนสถานตั้งอยู่ในเมืองพระนครจังหวัดเสียมเรียบประเทศกัมพูชา สร้างในรัชสมัยของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 12 โดยเป็นศาสนสถานประจำพระนครของพระองค์ ตัวเทวสถานได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี จนเป็นศูนย์กลางทางศาสนาที่สำคัญเพียงแห่งเดียวที่ยังเหลือรอดมาจนถึงปัจจุบันนับตั้งแต่ก่อสร้างแล้วเสร็จ แต่เดิมนครวัดเป็นเทวสถานของศาสนาฮินดู ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อถวายแด่พระวิศณุก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นศาสนาพุทธ นครวัดเป็นสิ่งก่อสร้างทางศาสนาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของโลก ตัวเทวสถานถือเป็นที่สุดของสถาปัตยกรรมเขมรสมัยคลาสสิกรุ่งเรือง และได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์ของประเทศกัมพูชา โดยปรากฏในธงชาติ และเป็นจุดท่องเที่ยวหลักของประเทศ ตลอดจนได้รับลงทะเบียนเป็นมรดกโลกภายใต้ชื่อ เมืองพระนคร
ปราสาทนครวัดได้เริ่มสร้างในกลางพุทธศตวรรษที่ 17 ในรัชสมัยของ พระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 เพื่อบูชาแด่พระวิษณุหรือ พระนารายณ์ ในปี พ.ศ. 1720 ชาวจามได้บุกรุกขอม ทำให้พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ต้องย้ายเมืองหลวงไปที่เมืองนครหลวง หรือ เสียมราฐ ในปัจจุบัน หลังจากนั้น พระองค์จึงสร้างเมืองนครธม และ ปราสาทบายน ห่างจากปราสาทนครวัดไปทางเหนือ เพื่อเป็นเมืองหลวงแห่งใหม่ของชาวขอม
ในปี ค.ศ. 1586 (พ.ศ. 2129) ได้มีนักบวชจากโปรตุเกส นามว่า อันโตนิโอ ดา มักดาเลนา เป็นชาวตะวันตกคนแรกที่ได้ไปเยือนปราสาทนครวัด แต่ที่จะถือว่าเป็นการเปิดประตูให้แก่ปราสาทนครวัดนั้น คือการค้นพบของ อองรี มูโอต์ นักสะสมแมลงและนักสำรวจชาวฝรั่งเศส เมื่อประมาณร้อยกว่าปีที่แล้วมา
ปราสาทนครวัดเป็นสิ่งก่อสร้างในยุคสิ้นสุดของราชอาณาจักรขะแมร์ โดยมีหินทรายเป็นวัสดุก่อสร้างหลัก
ขนาดและการก่อสร้าง

มุมมองนครวัดทางอากาศ
หอสูงบริเวณศูนย์กลางของปราสาทหินนครวัด
ปราสาทนครวัดมีขนาดใหญ่มากถึง 200,000 ตารางเมตร ตัวปราสาทสูง 60 เมตร ยาว 100 เมตร และกว้าง 80 เมตร มีแผนผังที่ถือว่าเป็นวิวัฒนาการขั้นสุดยอดของปราสาทขอม มีปราสาท 5 หลังตั้งอยู่บนฐานสูงตามคติของศูนย์กลางจักรวาล มีกำแพงด้านนอกยาวด้านละ 1.5 กิโลเมตร มีคูน้ำล้อมรอบตามแบบ มหาสมุทรบนสวรรค์ที่ล้อมรอบเขาพระสุเมรุ
ใช้หินรวม 600,000 ลูกบาศก์เมตร ใช้แรงงานช้างกว่า 40,000 เชือก และแรงงานคนนับแสนขนหินและชักลากหินมาจากเขาพนมกุเลน ชึ่งอยู่ห่างออกไปกว่า 50 กิโลเมตร มาสร้าง

ปราสาทนครวัด มีเสา 1,800 ต้น หนักต้นละกว่า 10 ตัน ใช้เวลาสร้างร่วม 100 ปี ใช้ช่างแกะสลัก 5,000 คน และใช้เวลาถึง 40 ปี หอสูง 60 กว่าเมตรศูนย์กลางของกลุ่มปราสาท อันเปรียบเสมือนศูนย์กลางของจักรวาลนั้น มีทางเดินขึ้นที่ชันมาก ราว 50 องศา แต่ก็กลับเป็นจุดสำคัญที่นักท่องเที่ยวทุกเพศทุกวัยจะต้องปีนขึ้นไปและไต่ลงมา ที่จุดบนสุดของหอนี้จะมองเห็นวิวที่สวยสุดของปราสาทนครวัด

[แก้] รูปสลักและงานประติมากรรม

ภาพสลักนูนสูงรูปนางอัปสรฟ้อนรำ
ทางด้านกำแพงชั้นนอกรอบปราสาทนั้น มีความยาวกว่า 800 เมตร มีงานแกะสลักเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 และเรื่องราวจากวรรณคดีเรื่อง รามายณะ รูปแกะสลักที่มีชื่อที่สุดก็คือรูปที่เทวดากับอสูรกวนเกษียรสมุทรด้วยเขาพระสุเมรุ และยังมีรูปแกะสลักนางอัปสรอีกถึง 1,635 นาง ที่ทั้งหมดแต่งกายและทรงผมไม่ซ้ำกันเลย

มีภาพจำหลักหินด้านหนึ่งเป็นภาพกองทัพสยาม ที่ส่งไปช่วยรบกับพวกจามมีอักษรจารึกไว้ว่า “สยำ กุก” ปัจจุบันถูกเอาออกไปแล้วน่าจะหมายถึงกองทัพสยามจากลุ่มแม่น้ำกก คือกำลังที่มาจากเมืองเชียงราย เมืองเชียงแสนหรือจาก[สุพรรณบุรี และคำว่า “ โลว” สันนิษฐานว่าเป็นกองทัพจากเมืองละโว้



ภาพพาโนรามาตั้งแต่ทางเข้าจนเห็นตัวปราสาทอยู่ไกลๆ


ขอบคุณข้อมูลจาก
http://www.itea.5u.com/My%20Webs/angkor.htm

非洲犀牛的眼泪African rhino tears:没有买卖就没有伤害

非洲犀牛的眼泪
非洲犀牛的眼泪
  There are two groups of people shooting rhinos in southern Africa today. The first are poachers, who shoot to kill, then hack off horns and gouge out eyes. The second are game wardens, who stun with tranquilizer darts, then insert tracker microchips into the horn. After a lull for more than a decade in which rhino numbers began to recover, in the past few years the poachers have gained ground once more: 333 rhinos died in southern Africa last year, and the kill rate has accelerated again this year。
在今天的非洲大陆南部,有两类人枪击犀牛。第一类人是偷猎者。他们用枪支猎杀犀牛后,拔去它们的犀牛角并挖掉它们的眼睛。第二类人是狩猎监督官。他们用麻醉枪将犀牛麻醉后,在它们的角内植入追踪芯片。十年的休养生息使得犀牛数量有所回升,然而近年来偷猎者又开始蠢蠢欲动:去年,非洲南部有333头犀牛遭到猎杀,而且被猎杀犀牛数量今年再次增长。


Why are rhinos dying again? Because globalization has lots to say about making billions of people richer, but nothing to say about what to do with the money. Rhino horn has been used in traditional medicine in China and Vietnam for centuries. Now that a new Asian elite can pay the earth for it, a new international poaching mafia is scouring the planet to satisfy that demand. The money on offer has persuaded more than a few game hands to turn poacher. It has persuaded others that, since a rhino does not have to die to give up its horn, and since only a live rhino can grow another one, legalizing horn sales and farming rhinos may be the only answer. Since a live animal would then be more valuable than a dead one, the thinking goes, it might even prompt a population increase。


为什么犀牛再一次相继死去?因为全球化浪潮能让亿万人取财有道,却不能让富裕的人们用财有方。在中国和越南,犀牛角被用作传统药物已长达几个世纪。如今,亚洲新贵们完全有能力进行这项买卖,因此,为了满足他们的需求,国际盗猎团伙正在洗劫整个世界。诱人的金钱诱惑甚至让部分保护者的双手都沾满了鲜血。而对于其他人,既然拿掉犀牛角后犀牛也不是非死不可,况且活着的犀牛还可以再长出新的角,犀牛角交易合法化以及圈养犀牛似乎成了不二选择。按照这样的逻辑,既然活着的犀牛价值反而高于被杀死的犀牛,上述做法应该反而会促进犀牛数量的增长。


For now, heavily armedrangers and poachers play a deadly game of cat and mouse across the bushlands of South Africa and Zimbabwe, frequently killing each other as they race from dawn to dusk to find the next unguarded rhino. The rangers are flat out. So are the poachers。


如今,全副武装的管理员和盗猎者正在南非和津巴布韦的非洲荒原上上演着惨烈的猫捉老鼠游戏。从日出到黄昏,两派人马追逐着毫无防备的犀牛,期间经常会让对方血溅当场。管理员已经筋疲力尽了。偷猎者也一样。

ม่อเกาคู' พุทธศิลป์ชิ้นเลิศที่ตุนหวง





ถ้ำผาม่อเกา (จีน: 莫高窟; พินอิน: mò gāo kū, ม่อเกาคู) ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองตุนหวง มณฑลกานสู้ ประเทศจีน ในอดีตเป็นหนึ่งในจุดค้าขายและแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมที่สำคัญในเส้นทางสายไหม ภายในถ้ำงดงามด้วยพุทธศิลป์จีนทั้งพระพุทธรูป และจิตรกรรมฝาผนังที่มีอายุกว่า 1,000 ปี  ถ้ำผาม่อเกาได้ลงทะเบียนเป็นมรดกโลกในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญครั้งที่11เมื่อปีพ.ศ.2530ที่กรุงปารีสประเทศฝรั่งเศส ด้วยข้อกำหนดและหลักเกณฑ์ในการพิจารณา ดังนี้




  • ๑ -เป็นตัวแทนในการแสดงผลงานชิ้นเอกที่จัดทำขึ้นด้วยการสร้างสรรค์อันชาญฉลาดของมนุษย์





  • ๒ - เป็นสิ่งที่มีอิทธิพลยิ่ง ผลักดันให้เกิดการพัฒนาสืบต่อมาในด้านการออกแบบทางสถาปัตยกรรม อนุสรณ์สถาน ประติมากรรม สวน และภูมิทัศน์ ตลอดจนการพัฒนาศิลปกรรมที่เกี่ยวข้อง หรือการพัฒนาการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ ซึ่งได้เกิดขึ้นในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง หรือบนพื้นที่ใดๆ ของโลกซึ่งทรงไว้ซึ่งวัฒนธรรม





  • ๓ - เป็นสิ่งที่ยืนยันถึงหลักฐานของวัฒนธรรมหรืออารยธรรมที่ปรากฏให้เห็นอยู่ในปัจจุบันหรือว่าที่สาบสูญไปแล้ว





  • ๔ -เป็นตัวอย่างอันโดดเด่นของประเภทของสิ่งก่อสร้างอันเป็นตัวแทนของการพัฒนา ทางด้านวัฒนธรรม สังคม ศิลปกรรม วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี อุตสาหกรรม ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ





  • ๕-เป็นตัวอย่างอันโดดเด่นของวัฒนธรรมมนุษย์ ขนบธรรมเนียมประเพณีแห่งสถาปัตยกรรม วิธีการก่อสร้าง หรือการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ ซึ่งเสื่อมสลายได้ง่ายจากผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมตาม กาลเวลา





  • ๖-มีความคิดหรือความเชื่อที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับเหตุการณ์ หรือมีความโดดเด่นยิ่งในประวัติศาสตร์




  • ถ้ำผาม่อเกา พร้อมด้วยถ้ำผาหลงเหมิน และถ้ำผาหยุนกัง เป็นที่ที่รู้จักกันดีในจีนในฐานะเป็นแหล่งที่มีปฏิมากรรมโบราณอันงดงาม


    รัชสมัยกวงสูปีที่ 26 (ค.ศ. 1900) นักพรตเต๋านาม หวังหยวนจ้วน ค้นพบถ้ำลึกลับที่เก็บซ่อนคัมภีร์ทางศาสนาโดยไม่ตั้งใจ ภายในถ้ำยังเป็นที่เก็บรักษาจดหมายเหตุบันทึกทางประวัติศาสตร์ไว้ในสภาพสมบูรณ์ ที่จารึกด้วยอักษรฮั่น และอักษรพื้นเมืองโบราณของชนเผ่าในทะเลทราย อาทิ อักษรหุย ทิเบต ถู่ฟาน(บรรพบุรุษของชาวทิเบต) ลี่เท่อ และอักษรชีว์หลู และโบราณวัตถุอื่นๆ รวมทั้งสิ้นกว่า 50,000 ชิ้น ถ้ำแห่งนี้อยู่ในบริเวณถ้ำผาหินสลัก ซึ่งเป็นที่รู้จักกันมาตั้งแต่ก่อนรัชสมัยคังซี แห่งราชวงศ์ชิงว่า ‘ถ้ำผาม่อเกาคู’ การค้นพบครั้งยิ่งใหญ่แห่งศตวรรษ ทำให้ถ้ำผาร้างอันโดดเดี่ยวแห่งเนินทรายหมิงซาซัน กลายเป็นอัญมณีน้ำงามสุดประมาณค่าบนยอดมงกุฎมังกร

    ความงามย่อมเป็นที่หมายปอง พลันเมื่อข่าวการค้นพบแพร่กระจายออกไป มืออำมหิตจากทุกสารทิศ ทั้งจากแผ่นดินและเกาะทางตะวันตก โลกใหม่ ไซบีเรีย แดนอาทิตย์อุทัย หรือแม้แต่เขตแคว้นทั่วแผ่นดินจีน ต่างยื่นยาวเข้ามาฉกฉวย และพรากเอา ‘อัญมณี’ ไปจากถ้ำผาแห่งนี้ กว่าที่รัฐบาลจีนจะเริ่มตั้งทีมวิจัยศึกษา สืบค้น และวางแผนการอนุรักษ์ถ้ำผาม่อเกาคู ในฐานะมรดกทางวัฒนธรรมของชาติ ก็ล่วงเลยเข้าสู่ปีค.ศ. 1943 และหลังจากนั้นอีก 44 ปี ชาวโลกจึงเข้ามายกฐานะและบทบาทของถ้ำผาม่อเกาคู ขึ้นเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของโลก


                                                                   
    คูหาหมายเลข 96 โบราณสถานหลักของถ้ำผาม่อเกาคู

                        

    รูปปั้นสลักเขียนสีรูปพระโพธิสัตว์ สุดยอดความงามแบบศิลปะตุนหวง

        

    ภาพจิตรกรรมผนังถ้ำในคูหาหมายเลข 285 เป็นภาพบรรดาเทพและนางฟ้าบนสรวงสวรรค์ ศิลปะปลายสมัยราชวงศ์เหนือใต้

          ความงามย่อมเป็นที่หมายปอง พลันเมื่อข่าวการค้นพบแพร่กระจายออกไป มืออำมหิตจากทุกสารทิศ ทั้งจากแผ่นดินและเกาะทางตะวันตก โลกใหม่ ไซบีเรีย แดนอาทิตย์อุทัย หรือแม้แต่เขตแคว้นทั่วแผ่นดินจีน ต่างยื่นยาวเข้ามาฉกฉวย และพรากเอา ‘อัญมณี’ ไปจากถ้ำผาแห่งนี้ กว่าที่รัฐบาลจีนจะเริ่มตั้งทีมวิจัยศึกษา สืบค้น และวางแผนการอนุรักษ์ถ้ำผาม่อเกาคู ในฐานะมรดกทางวัฒนธรรมของชาติ ก็ล่วงเลยเข้าสู่ปีค.ศ. 1943 และหลังจากนั้นอีก 44 ปี ชาวโลกจึงเข้ามายกฐานะและบทบาทของถ้ำผาม่อเกาคู ขึ้นเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของโลก

          

    บ่อน้ำเย่ว์หยาเฉวียน จุดท่องเที่ยวลือชื่อของเมืองตุนหวง

       

    ภาพเขียนลีลานางฟ้าแบบฉบับของศิลปะตุนหวง
           
       


    รูปปั้นสลักเขียนสี งานศิลปะที่ขึ้นชื่อของถ้ำผาม่อเกาคู (ซ้าย-รูปปั้นพระโพธิสัตว์ ในคูหาหมายเลข 438 ก่อนสมัยราชวงศ์สุย ขวา-รูปปั้นศิลปะสมัยถังยุครุ่งเรือง ในคูหาที่ 45
       

    ภาพนักดนตรีเล่นเครื่องคนตรีชนิดต่างๆ ในยุคกลางของสมัยราชวงศ์ถัง อันทรงคุณค่าด้านคีตศิลป์โบราณของจีน      
                    
      

    ภาพจิตรกรรมฉากการรบในสงคราม บนผนังถ้ำม่อเกาคู หมายเลข 285 ศิลปะก่อนสมัยราชวงศ์สุย 

      

    รูปสลักเขียนสีต่างอารมณ์ของ พระสาวก พระโพธิสัตว์ และเทพเจ้าแห่งสวรรค์ ในคูหาที่ 45 สัญลักษณ์ของยุคทองแห่งศิลปะสมัยราชวงศ์ถัง


    ข้อมูลจาก
       http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=odyden&date=05-09-2007&group=3&gblog=18

    คนไทยมาจากไหน

                        
    ความจริงข้อหนึ่งที่ผู้ศึกษาประวัติศาสตร์ทุกคนรู้ดีก็คือว่าเรื่องราวที่เพิ่งเกิดขึ้นหรือประวัติศาสตร์ที่ไม่ไกลตัวจนเกินไปนักย่อมอยู่ในความทรงจำหรือทำการศึกษาได้ง่ายกว่าเรื่องราวที่ไกลตัวออกไป ยิ่งเป็นเรื่องที่ไกลขนาดร้อย ๆ พัน ๆ ปีขึ้นไปด้วยแล้วยิ่งลำบาก สาเหตุก็เพราะจำกัดในหลักฐานสำหรับค้นคว้ายืนยันความจริงนั่นเอง

    ปัจจุบันถ้ามีคนถามเราว่า “คนไทยมาจากไหน” เราคงจะตอบไม่ได้ง่าย ๆ เมื่อก่อนถ้ามีผู้มาถามเราเช่นนี้ เราก็คงตอบไปว่า “มาจากภูเขาอัลไต” หรือ "มาจากมณฑลเสฉวน บริเวณตรงกลางของประเทศจีน” แต่ปัจจุบัน การศึกษาคนคว้าในเรื่องนี้มีมากขึ้น ทำให้ข้อสันนิษฐานที่แตกต่างไปจากเดิมมีมากขึ้นด้วย

    ขณะนี้ไม่มีนักประติศาสตร์ท่านใดสามารถสรุปได้ว่าชนชาติไทยมาจากไหนกันแน่ แต่เท่าที่ค้นคว้ากันมา มีความเชื่อต่าง ๆ กันดังนี้

    ๑. เดิมคนไทยอยู่ในบริเวณมณฑลเสฉวน ตรงลุ่มแม่น้ำแยงซีเกียงในตอนกลางของประเทศจีนปัจจุบัน แล้วค่อยอพยพมาทางตอนใต้ของจีน จากนั้นก็ลงมาสู่แหลมอินโดจีน ผู้เสนอความคิดนี้เป็นคนแรกก็คือ Terrien de la Couperie เขาเสนอผลงานเรื่อง The Cradle of the Shan Race (2428) คนไทยที่เชื่อตามทฤษฎีนี้มีหลายคน เช่น สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ หลวงวิจิตรวาทการ และรอง ศยามานนท์ เป็นต้น

    ๒. เดิมคนไทยอยู่ในบริเวณเทือกเขาอัลไต หมอสอนศาสนาชาวอเมริกันเป็นผู้เสนอความคิดนี้ เขาคือ William Clifton Dodd งานเขียนเรื่อง The Tai Race : The Eider Brother of the Chinese (2452) เป็นที่สนใจของนักประวัติศาสตร์อย่างกว้างขวาง และมีอิทธิพลต่องานของ W.A.R. Wood ในเรื่อง A History of Siam และขุนวิจิตรมาตรา ในเรื่อง “หลักไทย”

    ๓. เดิมคนไทยอยู่กระจัดกระจายทั่วไปในบริเวณทางตอนใต้ของจีนและทางตอนเหนือของภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตลอดจนบริเวณแคว้นอัสสัมในอินเดีย ผู้ที่เสนอความคิดนี้ก็คือ ArchibaI R. Colguhoun เขาเป็นชาวอังกฤษ เดินทางสำรวจดินแดนตั้งแต่ทางภาคใต้ของจีนจากกวางตุ้งเข้าไปในพม่า จากนั้นเขาก็เขียนหนังสือเรื่อง Chryse (2428) ต่อมาความคิดนี้ได้รับความสนใจนำไปค้นคว้าต่อ คนสำคัญที่นำความคิดนี้ไปขยายต่อก็มีเช่น E.H. Parker เขาค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่องน่านเจ้าพระยาประชากิจกรจักร (แช่ม บุนนาค) ผู้เขียนพงศาวดารโยนกก็เชื่อว่า คนไทยมาจากทางตอนใต้ของจีน นอกจากนี้ยังมีคนอื่น ๆ เช่น G. Coedes W. Credner W. Eberhard F. Mote ม.จ. สุภัทรดิศ ดิศกุล ขจร สุขพานิช และจิตร ภูมิศักดิ์ ฯลฯ เมื่อไม่นานมานี้ก็มีคนทำวิทยานิพนธ์ปริณญาเอกทางด้านประวัติศาสตร์ศิลปะที่ให้ความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องการอพยพของชนชาติไทย เขาคือ H.W. Woodward นักประวัติศาสตร์ผู้นี้เชื่อว่าแนวทางอพยพของคนไทยอาจมาทางลาวและลุ่มแม่น้ำป่าสักลงสู่ภาคกลางของประเทศไทย

    ๔. คนไทยไม่ได้มาจากไหน แต่ถิ่นเดิมของคนไทยก็คือบริเวณพื้นที่ประเทศไทยปัจจุบัน นักวิชาการที่เสนอความคิดนี้ก็คือ PauI Benedict นักภาษาศาสตร์และมานุษยวิทยาชาวอเมริกัน เขาค้นคว้าเรื่องชนชาติไทยโดยใช้หลักฐานด้านภาษาศาสตร์ จากการค้นคว้าทำให้เขาเชื่อว่าภาษาไทยเป็นภาษาใหญ่ของชนชาติเอเชีย อยู่ในตระกูลออสตริก หรือออสโตรนีเซียน แยกสาขาเป็นพวกไทย ชวา-มลายู และทิเบต-พม่า ดังนั้นเผ่าพันธุ์ของคนไทยจึงไม่น่าจะเป็นพวกมองโกล แต่น่าจะเป็นพวกชวา-มลายู ประมาณ ๔,๐๐๐-๓,๕๐๐ ปี การรุกรานของพวกมอญ เขมร จากอินเดีย เข้ามาในแหลมอินโดจีน น่าจะเป็นเหตุทำให้คนไทยขึ้นไปทางใต้ของจีน แต่เมื่อถูกจีนรุกรานก็ต้องถอยร่นไปในเขตแคว้นอัสสัม ฉาน ลาว ไทย และบริเวณตังเกี๋ยหรือบริเวณเวียดนามเหนือปัจจุบัน นักวิชาการที่สนับสนุนความคิดนี้ก็มี นายแพทย์สุด แสงวิเชียร ผู้ค้นคว้าโดยอาศัยหลักฐานจากการเปรียบเทียบโครงกระดูกมนุษย์สมัยหินที่ขุดค้นพบในบริเวณจังหวัดกาญจนบุรี

    ๕. เดิมคนไทยอยู่ในบริเวณคาบสมุทรมลายูและหมู่เกาะต่าง ๆ ในอินโดนีเชียก่อน แล้วต่อมาก็อพยพเข้าสู่บริเวณประเทศไทยปัจจุบัน ความคิดนี้ค่อนข้างใหม่มาก ผู้เสนอคือ สมศักดิ์ สุวรรณสมบูรณ์ เขาใช้หลักฐานทางด้านการแพทย์ คือการสุ่มตัวอย่างกลุ่มเลือดของคนไทยกับอินโดจีนปัจจุบัน ปรากฏว่ามีความคล้ายคลึงกัน

    จากที่กล่าวมาทั้งหมดก็แสดงให้เห็นว่า ปัญหาเรื่องความเป็นมาของคนไทยก่อนสมัยประวัติศาสตร์ยังไม่ยุติ แต่เท่าที่เราสามารถยึดถือได้ชั่วคราวก็คือความเชื่อของนักวิชาการที่ได้รับความนิยมในข้อ ๒ และ ๓ นั่นคือคนไทยอพยพจากถิ่นอื่นเข้ามาในบริเวณลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา และแนวการอพยพเป็นแนวเหนือลงมาทางใต้ กระจัดกระจายตามบริเวณที่ใกล้เคียงกันทางตอนใต้ของจีน เช่น ตามบริเวณมณฑลเสฉวน ยูนนาน แคว้นอัสสัม ฉาน ตอนเหนือของเวียดนาม ลาว และกัมพูชา เป็นต้นส่วนความเชื่อในข้อ ๔ และ ๕ นับว่าค่อนข้างใหม่ ยังไม่เป็นที่ยอมรับหรือมีอิทธิพลอย่างกว้างขวางต่อความเข้าใจของคนไทยในด้านความเป็นมาของตนเอง อย่างไรก็ดี สำหรับความเชื่อในข้อ ๔ กำลังเป็นที่ยอมรับและเป็นที่สนใจมากขึ้นในปัจจุบัน

    ข้อมูลนี้รวบรวมโดย พรเพ็ญ ฮั่นตระกูล จากหนังสือ “เอกสารประกอบการให้ความรู้ทางวัฒนธรรมไทยแก่ผู้เดินทางไปต่างประเทศ” ของสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ

    ขอบคุณข้อมูลสนับสนุนจากหนังสือ ๑๐๘ ซองคำถาม / สำนักพิมพ์สารคดี
    
    http://www.banprak-nfe.com/webboard/index.php?topic=182.0